จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556

ในที่สุดก็ Overtrain จนได้


หลายวันที่ผ่านมาผมได้แต่ถามตัวเองว่า ผมก็เล่นเวทหนักนะ 5 ใน7วันสม่ำเสมอด้วย อาหารก็ไม่ขาดนะ ออกจะเกินด้วยซ้ำ แถมอาหารเสริมก็เพียบทั้ง whey protein,bcaa,vitaminรวม แต่ทำไมช่วงนี้ผมเหนื่อยง่ายกว่าเดิม แรงตกลง เหงื่ออกมาก หัวใจเต้นเร็วขึ้น บางทีเวลาที่ไม่ได้เวทแล้ว ก็มีอาการใจสั่นนิดๆอีกด้วย ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นเพราะทานโปรตีนมากเกินไปหัวใจจึงเริ่มมีปัญหา เหมือนที่นักเพาะะกายหลายๆคนเป็นกัน ก็ไปซื้อวิตามินBรวม กับ fish oil มาซึ่งนักเพาะกายส่วนมากมักทานเสริมเพื่อป้องกันการเป็นโรคหัวใจจากการรับประทานโปรตีนมากเกินไป ต่อมาผมไปอ่านเจอเกี่ยวกับการovertraining ปรากฏว่า อาการของผมตรงกับอาการของovertrainingมากกว่า และผมก็ไม่แปลกใจเลยว่าซักวันมันจะมาแค่ไม่แน่ใจว่าเป็นหรือเปล่าเท่านั้น อาการคร่าวๆของovertrain เป็นดังนี้ครับ
  1. Frequent minor infections ป่วยบ่อยมากขึ้น อาจจะไม่ป่วยมาก แต่มักมีอาการ ปวดหัว เจ็บคอ น้ำมูกไหล เหมือนจะเป็นไข้ เป็นหวัด
  2. Chronic muscle soreness or joint pain อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ข้อต่อเรื้อรัง
  3. Exhaustion เหนื่อยล้า ตื่นมาก็รู้สึกเหมือนนอนไม่พอ
  4. Weight loss/gain น้ำหนักลด หรือเพิ่มโดยไร้สาเหตุ
  5. Appetite loss เบื่ออาหาร
  6. Increased thirst or dehydration รู้สึกกระหายน้ำอยู่ตลอดเวลา
  7. Intolerance to exercise ไม่สามารถออกกำลังกายได้เสร็จ หรือหยุดออกกลางคัน
  8. Decreased performance ความแข็งแกร่งร่างกาย กล้ามเนื้อลดลง
  9. Delayed recovery from exercise ร่างกายใช้เวลานานกว่าปรกติในการพักฟื้นระหว่างแต่ละเวิร์คเอาท์
  10. Fatigued, tired, drained, lack of energy เหนื่อย ง่วงเหงา หาวนอนตลอดเวลา
  11. Reduced ability to concentrate ไม่ค่อยมีสมาธิ
  12. Lack of motivation ความอยากที่จะออกกำลังกายหดหายไป
  13. Irritability หงุดหงิดง่าย
  14. Anxiety สับสนกระวนกระวาย
  15. Depression ซึมเศร้า
  16. Headaches ปวดหัว
  17. Insomnia นอนไม่หลับ
  18. Felling jittery ใจสั่น 

ข้อ1 เป็นครับเริ่มเป็นหวัดทุกวัน มีไข้ต่ำๆมาเป็นสัปดาห์ โดยปรกติผมจะเป็นภูมิแพ้นอนห้องแอร์แล้วตื่นมาตอนเช้าก็จะมีน้ำมูกนิดหน่อยแต่พอระหว่างวันก็จะหายไป แต่ปัจจุบันเป็นแทบจะตลอดวัน
ข้อ 2 ไม่เป็นครับ
ข้อ 3 เป็นทุกวันแต่อาจเป็เพราะนอนไม่พอจริงๆ เพราะว่าช่วงเดือนสองเดือนหลัง ผมมายกเวทเช้าก่อนไปทำงานตลอด เพื่อหลีกเลี่ยงคนจำนวนมากที่มาใช้บริการฟิตเนสตอนเย็น ทำให้ต้องตื่นตีห้าครึ่ง เพื่อทำอาหารไว้ทานที่ทำงานตอนเช้า และเที่ยง ทุกวัน ในขณะที่ไม่สามารถจะเข้านอนก่อนสี่ทุ่มได้เลย ทำให้หลายๆวันก็นอนเพียง 5 -6ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งต่อให้เป็นคนปรกติไม่ได้ยกเวทอย่างหนักทุกวันก็ต้องล้าและง่วงแน่นอน
ข้อ 4 ยังไม่ชัดเจนครับ อาจเป็นเพราะก็ยังทานเป็นปรกติอยู่
ข้อ 5 ยังไม่เบื่อนะครับ แต่ก็มีหลุดๆบ้างเพราะช่วงนี้ห่อข้าวอาหารมันก็จะเป็นแบบอุ่นไปไม่ใช่ทำเสร็จโดยแม่ครัวพ่อครัว มันก็จะไม่อร่อยนักครับ
ข้อ 6 มีเป็นบางครั้งเหมือนจะอยากดื่มน้ำเย็นมากๆเพื่อให้รู้สึกสดชื่น
ข้อ 7 รู้สึกเหนื่อยมากขึ้นจนต้องพักแต่ละเซ็ทนานขึ้นเพื่อให้การหายใจเป็นปรกติ
ข้อ 8 ยังคงเพิ่มน้ำหนักได้ในบางท่า เหมือนกล้ามเนื้อก็ยังมีแรงอยู่แต่ไม่ค่อยทนแล้ว
ข้อ 9 ไม่ค่อยชัดเจนนักเพราะอัด BCAA เข้าไปเยอะก็เลยไม่ค่อยรู้สึกกล้ามเนื้ออ่อนล้านัก
ข้อ 10 อันนี้เป็นหนักเลยครับ เพราะหลังเล่นตอนเช้าแล้วต้องไปทำงานต่ออีก 8-9 ชั่วโมงแถมต้องผจญกับการขนส่งในกรุงเทพฯแย่ๆอีก นอนก็ไม่ค่อยพอ บางวันทำงานก็รู้สึกเบลอๆไม่ค่อยกระตือรือร้นนัก
ข้อ 11 ข้อนี้มีแน่นอนครับ เพราะมันอยากจะพักผ่อนรู้สึกเหนื่อย ไม่อยากจะทำอะไร ก็เลยไม่ค่อยมีสมาธิกับงานกับเรื่องบางเรื่อง เพราะมันเหนื่อยอยากกลับบ้านไปพักมากกว่า
ข้อ 12 ยังคงอยากไปออกกำลังอยู่แต่อยากพักมากขึ้น
ข้อ 13 เรื่องนี้ผมรู้ตัวเลยปรกติก็เป็นคนอารมณ์ค่อนข้างร้อนอยู่แล้ว พอเหนื่อยแล้วไม่ได้พัก ความหงุดหงิดก็เลยเพิ่มขึ้นอีก
ข้อ 14 ไม่ค่อยชัดเจนนักแต่จะกระวนกระวายก็ตรงไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นอะไรแน่มากกว่า
ข้อ 15 ยังไม่ค่อยเป็นนะครับ แต่พอเหนื่อยขึ้นมันก็ร่าเริงน้อยลง
ข้อ 16 ก็มีบ้างจากความดันที่สูงขึ้นครับ
ข้อ 17 ปรกติผมเป็นคนนอนง่ายครับ แต่ช่วงหลังรู้สึกง่วงนะครับ แต่พอหัวถึงหมอนกลับไม่หลับเหมือนหัวใจยังเต้นเร็ว ในหัวยังเต้นตุ้บๆ บางทีต้องลุกมาทำอะไรก่อนค่อยกลับไปนอนใหม่
ข้อ 18 ข้อนี้น่ากลัวที่สุดครับ เพราะทำให้ผมกังวลว่าผมเป็นโรคหัวใจหรือเปล่า เพราะเดิมผมเป็นความดันสูงอยู่แต่ก็ทานยาอย่างสม่ำเสมอ และพอได้ออกกำลังตั้งแต่ปีที่แล้วน้ำหนักก็ลง และความดันก็ต่ำลงจนเป็นปรกติ ผมก็เลยไม่แน่ใจว่าจะเป็นโรคหัวใจ แต่ที่ผ่านมาตั้งแต่ไปออกกำลังช่วงเช้าก็รู็สึกว่านอนน้อยลงเพราะต้องตื่นเช้า แต่ไม่สามารถจะนอนเร็วชดเชยได้ ก็เลยกลายเป็นนอนไม่พอ ออกกำลังกายหนัก ร่างกายไม่ได้พัก ตื่นตัวด้วยวิตามินกับกาแฟ สุดท้ายก็จบลงที่overtrain

 แต่ชีวิตต้องเดินต่อครับ ผมตัดสินใจพักอย่างน้อย 3 วันติด และอาจพักถึงหนึ่งสัปดาห์หากว่ายังไม่ดีขึ้น ต้องปลอบใจตัวเองว่าเรายังมีเวลาเพาะกายอีกเยอะครับ ตัวเราที่แข็งแรงทั้งกายและใจนั้นสำคัญที่สุดครับ ระหว่างนี้ผมก็จะมีเวลามาลงบทความมากขึ้น และมีเวลาทบทวนผลการจัดตารางการเพาะกายของตัวเองและปรับปรุงเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก...

ข้อมูลจาก http://dropdeadhealthy.blogspot.com/

วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2556

35 เรื่องที่คุณควรรู้สำหรับการเพาะกาย


ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยหนังสือเพาะกายหลากหลายค่าย สังคมเพาะกายออนไลน์ คุณจะพบว่ามีบทความมากมาย และผู้เชี่ยวชาญหลายต่อหลายท่านพยายามทำให้คุณคิดว่า การเพาะกายนั้นเป็นเรื่องซับซ้อน และหากไม่ได้คำแนะนำจากพวกเค้าเหล่านั้น คุณจะไม่สามารถเพาะกายได้สำเร็จ
ในความเป็นจริงคุณไม่จำเป็นต้องกังวลมากจนเกินไป คุณควรจะยึดหลักพื้นฐานไว้ดีกว่า และข้อควรรู้ในการเพาะกายที่นำมาเสนอต่อไปนี้เหมาะกับผู้เพาะกายระดับพื้นฐานไล่ไปจนถึงระดับปานกลาง เพื่อบอกว่าคุณควรจะเพาะกายอย่างไร

1) ควรเริ่มการบริหารแต่ละวันด้วยท่าประภทใช้กล้ามเนื้อหลายส่วน(Compound)

2) ควรใช้ท่าบริหารเพียง 4-5ท่าต่อวัน

3) คนทั่วไปควรเพาะกายเพียง 2-4วันก็พอ

4) ควรบริหารให้ครบทุกส่วนของร่างกาย

5) ยังไงซะก็ต้องบริหารแบบสร้างพละกำลังกำลังด้วยน้ำหนักมากๆ จำนวนครั้งน้อยๆบ้าง แม้จะเน้นการสร้างแต่กล้ามเนื้อก็ตาม

6) ถ้าคุณเป็นวัยรุ่น อย่าไปสนใจนับแคลลอรี่ จงทานทุกครั้งที่หิว

7) ถ้าการน้ำหนักเกินเป็นปัญหากวนใจคุณ ก็ลดซะก่อนจะเริ่มเพาะกาย

8) อย่าไปยึดติดกับแนวทางการบริหารแบบใดแบบหนึ่งเกินไป

9) การวางแผนการเลือกรับประทานอาหารเป็นแค่จุดเริ่มที่ต้องนำมาปรับให้เข้ากับช่วงต่างๆในชีวิต

10) สร้างสมดุลให้ร่างกายช่วงบนด้วยการบริหารให้ครบทั้ง อก ไหล่ และหลัง

11) อย่าบริหารแขนหนักหรือบ่อยเกินไป เส้นเอ็นและข้อต่อคุณจะพังแน่นอน

12) คุณไม่มีวันเป็นผู้ชำนาญด้านท่าบริหาร ดังนั้นจงฝึกต่อไป

13)คุณจำเป็นต้องเพิ่มน้ำหนักที่ใช้บริหารเรื่อยๆ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม

14) อย่าโดดซ้อม การไม่สม่ำเสมอแม้เพียงเล็กน้อย อาจทำให้สิ่งที่ลงแรงไปไม่ได้ผล

15) ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนรูปแบบตารางการบริหารทุก8-12 สัปดาห์เพื่อให้กล้ามเนื้อสับสน มันเป็นเรื่องไร้สาระ

16) การsquatลงเพียงครึ่ง หรือหนึ่งส่วนสี่ จะทำให้เข่าของคุณพังก่อนเวลาอันควร

17) อย่าไปกังวลเรื่องว่าคุณทานเข้าไปเท่าไหร่, หรือบ่อยแค่ไหน, ตราบเท่าคุณยังทานอาหารได้ปริมาณแคลอรี่ที่เพียงพอ และสารอาหารตามที่ต้องการ จงเชื่อความรู้สึกและฟังเสียงร่างกายตัวเอง

18) พยายามรับประทานอาหารที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งให้ได้ 80 เปอร์เซ็นต์ของอาหารทั้งวัน

19) อาหารเสริมไม่ใช่ยาวิเศษ แต่ไม่ได้แปลว่าไม่มีประโยชน์

20) การลองผิดลองถูกด้วยตัวเองจะดีกว่าการเชื่อนักเพาะกายบางคนโดยไม่มีความรู้เลย

21) ถ้าลองอะไรแล้วมันได้ผล อย่าเปลี่ยน

22)เราเพาะกายเพื่อให้กล้ามใหญ่ขึ้น ไม่ใช่ทำลายมัน ยังมีวันข้างหน้าให้เล่นอย่าหักโหมเกินไป

23) ตั้งใจบริหาร อย่าให้แต่ละเซ็ตเสียเปล่า

24) การเล่นแบบเอาสนุกบ้างในบางวันเป็นสิ่งที่รับได้ ถ้า80เปอร์เซ็นต์ของวันนั้นคุณได้ฝึกอย่างเข้มข้นไปแล้ว

25) ระบบการบริหารที่ได้ผลมากที่สุดก็คือระบบที่ทำให้เราอยากไปยิมไปบริหารร่างกาย

26) ต่อให้คุณทานโปรตีนไม่ทันช่วง 45 นาทีหลังเล่นกล้าม กล้ามเนื้อคุณก็จะไม่สูญสลาย และการบริหารในวันนั้นก็ไม่ถึงกับไม่มีผลอะไร

27) คุณไม่จำเป็นต้องบริหารด้วยจำนวนท่ามากมายเพื่อให้สามารถบริหารกล้ามเนื้อแต่ละส่วนได้ทุกมุม

28) คุณไม่สามารถเปลี่ยนรูปร่างของกล้ามเนื้อได้ ไม่ว่าจะใช้ท่าบริหารใดๆก็ตาม แต่คุณทำให้มันใหญ่ขึ้นได้

29) คุณไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิค High Volume Training มันเป็นแค่ความอยากจะใช้เท่านั้น

30) การบริหารด้วยท่าบริหารกล้ามเนื้อหลายส่วน( Compound ) เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าการบริหารที่มีแต่ท่าที่ใช้กล้ามเนื้อเพียงส่วนเดียว( Isolation )

31) อย่าใช้น้ำหนักที่มากเกินไปกับท่าแบบ isolation หรือท่าบริหารที่ใช้กล้ามเนื้อส่วนเดียว และต้องใช้กล้ามเนื้อส่วนอื่นๆมาช่วยจนดูเป็นท่าแบบใช้กล้ามเนื้อหลายส่วนไปแทน

32)พยายามบริหารร่างกายโดยใช้เวลาให้ไม่เกิน 60-75 นาที

33) ไขมันไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย

34) ไม่จำเป็นต้องบริหารจนยกต่อไม่ไหวไปทุกเซต ท่ายก การทำงานของกล้ามเนื้อ สำคัญกว่า

35) กล้ามเนื้อเติบโตอย่างช้าๆ เป็นเรื่องปรกติ อย่ากังวลว่าที่บริหารไปไม่ได้ผล


***หมายเหตุ:
1. ผมจะขอแปลและเรียบเรียงแต่ข้อที่เห็นว่าน่าสนใจและเชื่อว่าถูกต้องเท่านั้นนะครับ เนื้อหาแบบเต็มสามารถไปอ่านได้ตามเวปที่อ้างอิงครับ

2. ผมจะไม่ใช้การแปลด้วย google translate เนื่องการนำบทความมาถ่ายทอดไม่ควรเป็นแค่การ cut and paste ดังนั้นผมจะอ่านและพิจารณาแล้วว่าเป็นประโยชน์ จึงทำการแปล และเรียบเรียงให้ผู้อ่านได้เข้าใจ ง่ายยิ่งขึ้น

ที่มา:50 Things You Should Know About Strength And Muscle Building http://www.muscleandstrength.com